ข่าวสารบริษัท

CLIMATE CRISIS SPURRED MEDICAL INNOVATIONS





คุณจรีพร จารุกรสกุล

ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงได้ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของผู้คนทั่วโลก ทั้งคลื่นความร้อน น้ำท่วม ภัยแล้ง และพายุ โดยข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบุว่า “ภาวะโลกร้อน” เป็นหนึ่งในภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่ร้ายแรงที่สุดของยุคปัจจุบัน ในขณะที่ WHO ได้เตือนว่า วิกฤตครั้งนี้อาจทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นราว 250,000 คนต่อปีในช่วงระหว่าง 2030–2050 นอกจากนี้ World Economic Forum ยังระบุว่าอุณหภูมิโลกที่ร้อนจัดจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 41 วันต่อปีทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศกำลังพัฒนา หรือพื้นที่ที่ต้องเสี่ยงภัยพิบัติซ้ำ ๆ ที่ต้องเผชิญความเสี่ยงทั้งโรคระบาดและปัญหาสุขภาพจิตในอัตราสูงกว่าเขตอื่น ๆ ทั้งหมดนี้สะท้อนชัดเจนว่า “โลกยิ่งร้อน โรคภัยยิ่งเพิ่ม” และสร้างแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขทั่วโลก

ท่ามกลางความท้าทายด้านสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศซึ่งได้เร่งให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งของระบบสาธารณสุขโลก โดยเริ่มจากการนำ AI มาช่วยวิเคราะห์แนวโน้มโรคและคาดการณ์พื้นที่เสี่ยง เช่น ระบบ Early Warning System ของ WHO ที่ถูกนำมาใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินจากภัยพิบัติ รวมถึงคาดการณ์การระบาดของโรค ซึ่งเพียงหนึ่งเครื่องก็สามารถรองรับการช่วยเหลือประชากรได้กว่า 500,000 คน หรือเทียบเท่าการให้บริการจากคลินิก 50 แห่งเลยทีเดียว โดยปัจจุบันระบบดังกล่าวได้ช่วยเหลือผู้คนทั่วโลกแล้วมากกว่า 100 ล้านราย ขณะเดียวกันยังมีการพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและฟื้นฟูรักษาในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เช่น Biopatch แผ่นแปะติดตามชีพจรและผิวหนังสำหรับประเมินอาการ Heatstroke หรือ เครื่อง PETAL ที่ใช้ AI ตรวจสอบการฟื้นตัวของบาดแผลเพียงแตะลงบนร่างกายผู้ป่วย อีกทั้งมีการพัฒนาเทคโนโลยี 3D Bioprinting ที่สามารถสร้างเนื้อเยื่อและอวัยวะที่มีโครงสร้างหลอดเลือดสมบูรณ์ เพื่อเปิดโอกาสใหม่ในการปลูกถ่ายอวัยวะและช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตในภาวะฉุกเฉิน

อย่างไรก็ตาม ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังสามารถสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่างระบบไฟฟ้าและประปา จนส่งผลให้หลายประเทศเร่งพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างจริงจัง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีโรงพยาบาลเคลื่อนที่แบบโมดูลาร์ (Mobile Emergency Unit) ที่สามารถติดตั้งและเริ่มใช้งานได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ โดยโรงพยาบาลดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็นทั้งห้องผ่าตัด ห้องฟื้นฟู และหอผู้ป่วย พร้อมรองรับการขนส่งทางเฮลิคอปเตอร์ อีกทั้งยังมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อให้ปฏิบัติการได้แม้ไม่มีไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยี GIS เพื่อวางแผนเส้นทางอพยพ ระบุศูนย์พักพิงและสถานพยาบาลใกล้เคียงได้อย่างแม่นยำ ทำให้การส่งต่อผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเกิดขึ้นได้ทันท่วงที ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่เผชิญภัยธรรมชาติบ่อยครั้ง จึงสามารถยกระดับประสิทธิภาพการรับมือเหตุฉุกเฉิน พร้อมลดความสูญเสียต่อชีวิตประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงไม่เพียงสร้างภาระใหญ่หลวงต่อสุขภาพของมนุษยชาติ แต่ยังเป็นแรงผลักสำคัญที่เร่งให้เกิดนวัตกรรมทางการแพทย์และพัฒนาระบบสาธารณสุขในระดับที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การผสานองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมเข้ากับวิทยาการแพทย์กำลังสร้างระบบสุขภาพที่ยืดหยุ่นมากขึ้น พัฒนาเทคโนโลยีเชิงคาดการณ์ และผลักดันนวัตกรรมที่พร้อมรับมือกับความผันผวนของสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็น ภาคเอกชน นักวิจัย หรือชุมชน ก็ควรร่วมกันแก้ไข เพราะการปกป้องสุขภาพมนุษย์ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่คือหัวใจของการสร้างความยั่งยืนที่จะเกื้อหนุนทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง


ข่าวที่เกี่ยวข้อง