Company News
THE HIDDEN COST OF AI


คุณจรีพร จารุกรสกุล
ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ท่ามกลางกระแสการพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งผลให้มนุษย์พึ่งพาและเชื่อมโยงกับ AI อย่างลึกซึ้งจนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในแทบทุกมิติ ตั้งแต่การใช้เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การเป็นเพื่อนคู่สนทนา หรือแม้แต่การให้คำปรึกษาและตัดสินใจในเรื่องส่วนตัว แม้ว่า AI จะสามารถเข้ามาช่วยตอบสนองความต้องการทางความคิดและอารมณ์ของมนุษย์ได้ แต่ความสะดวกสบายที่ได้รับนี้กลับมาพร้อมกับต้นทุนที่เราไม่อาจมองข้าม
ด้วยศักยภาพของ AI ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและให้คำตอบได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนเริ่มคุ้นชินกับการรับคำตอบสำเร็จรูปมากกว่าการคิดวิเคราะห์หรือค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งการพึ่งพา AI อย่างต่อเนื่องอาจค่อย ๆ บั่นทอนความสามารถในการคิดวิเคราะห์ที่เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ อีกทั้งกลไกการทำงานของ AI ที่อิงข้อมูลเชิงสถิติและคาดเดาคำถัดไปที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดยังมีความเสี่ยงต่อการสร้างข้อมูลเท็จ หรือที่เรียกว่า “AI Hallucination” ที่แม้ข้อมูลจะดูสมเหตุสมผลแต่อาจไม่ถูกต้องหรือยืนยันไม่ได้ ผู้ใช้จึงอาจหลงเชื่อข้อมูลเท็จโดยไม่รู้ตัว โดยผลกระทบจากการพึ่งพา AI ที่มากเกินไปไม่ได้จำกัดเพียงระดับบุคคล แต่ยังส่งผลต่อเนื่องไปยังระดับองค์กรและสังคมในวงกว้างอีกด้วย
นอกเหนือจากผลกระทบทางความคิดแล้ว สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ผลกระทบทางจิตใจ ในบางกรณีการพูดคุยกับ AI ในลักษณะของเพื่อนเสมือนอย่างต่อเนื่องอาจนำไปสู่ภาวะถอนตัวจากสังคม (Social Withdrawal) และในระยะยาวอาจพัฒนาเป็นสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า “AI Psychosis” หรือเป็นภาวะที่ผู้ใช้เริ่มสูญเสียขอบเขตของความเป็นจริงจากการสื่อสารกับ AI มากเกินไป จน AI ค่อย ๆ เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการรับรู้ ความคิด และอารมณ์โดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว ซึ่งกลไกสำคัญของภาวะดังกล่าวเกิดจากอัลกอริทึมของ AI ที่มักมีแนวโน้มคัดกรองและนำเสนอข้อมูลที่สอดคล้องกับความชอบและพฤติกรรมของผู้ใช้ จนนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Confirmation Bias Feedback” หรือการรับข้อมูลที่ยืนยันความเชื่อและอารมณ์เดิมของผู้ใช้ซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นอคติทางความคิดในระยะยาว ซึ่งหากเกิดกับผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือมีความเปราะบางทางอารมณ์ การได้รับการยืนยันอารมณ์เชิงลบซ้ำ ๆ สามารถเป็นตัวกระตุ้นที่ส่งผลสภาพจิตใจต่อผู้ใช้ที่เปราะบางได้อย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบเหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริงและส่งผลต่อสุขภาวะจิตใจของมนุษย์ในหลายระดับ ตั้งแต่ปัญหาความทุกข์ทางอารมณ์ ความสัมพันธ์ที่สั่นคลอน ไปจนถึงเหตุการณ์สูญเสียชีวิต เช่น กรณีวัยรุ่นชายในสหรัฐฯ ที่เกิดภาวะ “AI Psychosis” จากการสนทนากับ AI เฉพาะทางด้านสุขภาพจิตเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน โดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลในกระบวนการบำบัด ซึ่งระบบได้ตอบสนองด้วยการยืนยันความคิดแทนการให้คำแนะนำเหมาะสม จนนำไปสู่การตัดสินใจจบชีวิตในที่สุด เหตุการณ์นี้กลายเป็นแรงผลักดันให้มีการออกกฎหมาย Wellness and Oversight for Psychological Resources (WOPR) Act ที่กำหนดให้ AI ด้านสุขภาพจิตทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ช่วยภายใต้การดูแลผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
สถานการณ์นี้ไม่เพียงสะท้อนข้อจำกัดของเทคโนโลยี แต่ยังเตือนให้เราทบทวนบทบาทของ AI ในชีวิตประจำวันอย่างรอบคอบ ในเมื่อการอยู่ร่วมกับ AI กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การมีความเข้าใจในเทคโนโลยีและการใช้งานด้วยสติและวิจารณญาณ ไม่เชื่อหรือยอมรับข้อมูลจากระบบโดยไม่ตรวจสอบจึงเป็นสิ่งสำคัญ ขณะเดียวกัน นักพัฒนาและภาครัฐควรร่วมกันกำหนดแนวทางการออกแบบและกำกับดูแล AI บนพื้นฐานของจริยธรรม ความปลอดภัย และความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้าของเทคโนโลยีกับคุณค่าของมนุษย์ ทำให้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและศักยภาพของมนุษย์อย่างแท้จริง