Company News

FLIGHT OF THE FUTURE





คุณจรีพร จารุกรสกุล

ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

การผลักดันเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ในระดับโลกมีความจริงจังมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการขนส่งทางอากาศที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนที่คิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 3 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก แนวโน้มดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการใช้ Sustainable Aviation Fuel (SAF) หรือน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนเพิ่มสูงขึ้น

SAF เป็นเชื้อเพลิงที่ออกแบบมาเพื่อทดแทนน้ำมันเครื่องบินฟอสซิล โดยสามารถผสมกับเชื้อเพลิงทั่วไป และใช้งานได้โดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์หรือโครงสร้างพื้นฐานของเครื่องบินส่วนใหญ่ (Drop-in Fuel) โดย SAF ไม่ได้ผลิตจากน้ำมันดิบแต่ผลิตจากแหล่งวัตถุดิบที่หลากหลายและยั่งยืน (Feedstocks) เช่น น้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ขยะมูลฝอยชุมชน พืชพลังงาน ของเสียทางการเกษตร ตลอดจนไฮโดรเจนและคาร์บอนจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เป็นต้น จึงทำให้ SAF มีศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดวงจรชีวิต (Life Cycle Emissions) สูงถึงร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วไป

ความต้องการใช้ SAF ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักและความมุ่งมั่นของอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก ทั้งการกำหนดนโยบายจากหน่วยงานกำกับดูแลระดับภูมิภาค เช่น สหภาพยุโรปที่ออกระเบียบ ReFuelEU Aviation กำหนดสัดส่วนการใช้ SAF ขั้นต่ำ หรือสายการบินและผู้ให้บริการโลจิสติกส์ต่าง ๆ ที่เริ่มนำ SAF มาใช้ในเที่ยวบินเชิงพาณิชย์และบริการขนส่งสินค้าเพื่อลดคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน รายงานของ cCarbon แพลตฟอร์มข้อมูลและการวิเคราะห์ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Commodity Markets) และการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) คาดการณ์ว่าการผลิต SAF ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 30 เท่าภายในปี 2573 และมูลค่าตลาดกว่า 29.7 พันล้านดอลลาร์ โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสำคัญด้วยสัดส่วนการผลิตร้อยละ 17 ของการผลิต SAF ทั่วโลกเนื่องจากการเป็นภูมิภาคที่มีการขนส่งทางอากาศขนาดใหญ่และเติบโตเร็วที่สุด

การพัฒนา SAF ไม่เพียงแต่ช่วยลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมการบิน แต่ยังสร้างระบบนิเวศใหม่ที่เชื่อมโยงหลากหลายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอุตสาหกรรมชีวภาพที่กลายเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม แม้ว่า SAF จะมีศักยภาพสูงแต่ยังเผชิญกับความท้าทายที่ต้องการนวัตกรรมและการสนับสนุนอย่างจริงจัง ปัจจุบัน SAF มีราคาสูงกว่าน้ำมันฟอสซิลถึง 2 – 3 เท่า เนื่องจากปริมาณการผลิตยังมีจำกัด ตลอดจนความเพียงพอของวัตถุดิบชีวภาพที่เป็นโจทย์สำคัญ

ประเทศไทยมีความพร้อมด้านวัตถุดิบหลากหลาย เช่น น้ำมันพืชใช้แล้ว (Used Cooking Oil - UCO) กากน้ำตาล ฟางข้าว แกลบ ซังข้าวโพด มันสำปะหลัง และน้ำมันปาล์มดิบ รวมถึงโอกาสในการลงทุนที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นภายหลังจากภาครัฐบรรจุ SAF เข้าไปในแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2567-2580 (AEDP2024) ตลอดจนกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (DEDE) ได้เตรียมประกาศใช้มาตรฐาน SAF โดยเริ่มต้นที่ร้อยละ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 และจะเพิ่มสัดส่วนไปจนถึงร้อยละ 8 ภายในปี 2579 เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินให้สอดคล้องกับพันธกรณี ICAO-CORSIA (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และ Net Zero ในปี 2608 ของประเทศไทย

SAF หรือน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนจึงเป็นมากกว่าแค่เชื้อเพลิงแต่เป็นกลไกขับเคลื่อนที่ผสานเป้าหมายการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้ากับการพัฒนาทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคเกษตร และนับเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับจากฐานการผลิตเกษตรกรรมไปสู่เศรษฐกิจชีวภาพที่เชื่อมโยงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงด้านพลังงานเข้าไว้ด้วยกัน


Related Company News