สารจากประธานกลุ่ม

ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป โชว์ผลงานโดดเด่น ปี 2565 สร้างกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ประสบความสำเร็จในทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด และได้รับรางวัลอันทรงเกียรติมากมาย ซึ่งตอกย้ำศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจ และการเป็นผู้นำในฐานะผู้พัฒนาด้านโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภคและพลังงาน ตลอดจนดิจิทัล ทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนามได้เป็นอย่างดี โดยปี 2565 บริษัทมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรเท่ากับ 15,568 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4,046 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% และ 56% จากปีก่อนหน้า โดยมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติเท่ากับ 15,566 ล้านบาท และกำไรปกติ 4,065 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% และ 50% จากปีก่อนหน้า และมีมูลค่าสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 86,302 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังได้ริเริ่มภารกิจ “Mission to the Sun” ซึ่งประกอบด้วย 9 โปรแกรม ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ ๆ รวมถึงเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และเสริมสร้างการพัฒนาองค์กร และบุคลากรของบริษัท โดยโปรแกรมที่สำคัญ เช่น Green Logistics, Digital Assets (Metaverse), Digital Health Tech, Circular

กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ๆ โดยปี 2565 บริษัทประสบความสำเร็จจากการเปิดตัวโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม.21 บนเนื้อที่รวมกว่า 400 ไร่ ส่งผลให้บริษัท มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารทั้งหมดกว่า 2.72 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ บริษัทสามารถสร้างอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ของบริษัท โดยรวมอยู่ที่ร้อยละ 92 สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าคุณภาพสูงที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ บริษัทประสบความสำเร็จในการจำหน่ายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ WHART จำนวน 5 โครงการ มีพื้นที่รวม 159,963 ตารางเมตร โดยคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 4,051 ล้านบาท และ กองทรัสต์ WHAIR จำนวนพื้นที่รวม 48,186 ตารางเมตร โดยคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1,346 ล้านบาท

บริษัทมุ่งมั่นขยายธุรกิจโลจิสติกส์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งยังมุ่งเน้นจัดหาบริการที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้าด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะมาใช้ อาทิ Quantum Computing, Internet of Things (IoT) และ Data Analytics เป็นต้น โดยขอบเขตที่อยู่ระหว่างการศึกษา ได้แก่ คลังสินค้าอัจฉริยะ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Quantum Computing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และการพัฒนาระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด Green Logistics รวมถึงการพัฒนาความร่วมมือกับธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่มีศักยภาพเพื่อส่งมอบบริการ และยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าไปพร้อม ๆ กัน

สำหรับธุรกิจ Office Solutions บริษัทเดินหน้าขยายโครงการอาคารสำนักงานอีกหลายแห่งบนทำเลที่ดีเยี่ยมในกรุงเทพฯ โดยล่าสุด โครงการ WHA KW S25 คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2566 โดยปัจจุบัน บริษัทมีโครงการอาคารสำนักงานจำนวน 6 แห่ง ในเขตกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ มีพื้นที่รวมกว่า 100,000 ตารางเมตร เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและการออกแบบที่เหนือชั้น ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มประเภทธุรกิจ

สำหรับธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม บริษัทประสบความสำเร็จจากยอดขายที่ดินรวม 1,899 ไร่ แบ่งเป็นยอดขายที่ดินในประเทศไทย 1,793 ไร่ และประเทศเวียดนาม 106 ไร่ ปัจจุบัน บริษัทมีนิคมอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการในประเทศไทย จำนวน 11 แห่ง โดยมีนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 จำนวน 1,280 ไร่ ซึ่งดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาและขยายนิคมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม บริษัทมีเขตอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 1 แห่ง ได้แก่ โครงการในเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ โซน 1 - เหงะอาน เฟส 1 ขนาด 900 ไร่ และเร่งการก่อสร้าง เฟส 2 ขนาดพื้นที่ 2,215 ไร่ เพื่อรองรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะมีความต้องการที่ดินอุตสาหกรรมสูงขึ้น หลังจากได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากการขายที่ดินในเฟส 1 พร้อมกันนี้ บริษัทมีโครงการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมใหม่ ในจังหวัดหลัก ๆ ของประเทศเวียดนาม อีก 2 โครงการ อันได้แก่ เขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Industrial Zone - Thanh Hoa พื้นที่ 5,320 ไร่ ในจังหวัดทัญฮว้า โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2567 และ เขตอุตสาหกรรม WHA Smart Eco Industrial Zone - Quang Nam พื้นที่ 2,500 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของภาคกลาง ระหว่างจังหวัดดานังและจังหวัดกว๋างหงาย โดยคาดว่าจะได้รับการอนุมัติใบอนุญาตต่าง ๆ ในปี 2569 หรือ 2570 และหากทุกอย่างแล้วเสร็จสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ทันที

นอกจากนี้ บริษัทยังเปิดให้บริการไฟเบอร์ออพติคใต้ดิน (FTTx) ในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัท ทั้ง 11 แห่ง ในประเทศไทย และให้บริการเช่าเสาโทรคมนาคม เพื่อติดตั้งอุปกรณ์รับกระจายสัญญาณเครือข่าย 5G ในนิคมอุตสาหกรรม 3 แห่ง โดยคาดว่าจะขยายให้ครอบคลุมนิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ในอนาคต

สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภค บริษัทมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชันให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม โดยบริษัทได้เปิดดำเนินการโครงการโรงผลิตน้ำและโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ เพื่อรองรับการขยายตัวของความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประกอบด้วย โรงผลิตน้ำและโรงบำบัดน้ำเสียกำลังการผลิตรวม 3.3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ภายในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 รวมถึงเตรียมดำเนินการก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ ภายในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกว่า 5.8 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี พร้อมกันนี้ยังได้เร่งดำเนินการโครงการจัดหาน้ำดิบทดแทน เพื่อสร้างความมั่นคงด้านการจัดหาทรัพยากรน้ำ อีกจำนวน 2 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตน้ำรวม 10 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยโครงการน้ำดิบแห่งแรก มีขึ้นเพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 และเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ส่วนโครงการที่สองในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 จะเริ่มก่อสร้างในไตรมาสแรกของปี 2566

สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภคในประเทศเวียดนาม ปัจจุบัน บริษัทให้บริการอยู่ 3 โครงการได้แก่ โครงการผลิตและจำหน่ายน้ำในเขตประกอบการอุตสาหกรรม WHA Industrial Zone 1 จังหวัด Nghe An โรงบำบัดน้ำเสีย Duang River Surface และโรงผลิตและจำหน่ายน้ำประปา Cua Lo

โดยในปี 2565 บริษัทสามารถสร้างยอดขายและบริหารน้ำได้สูงถึง 145 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งรวมปริมาณน้ำอุตสาหกรรมและการบำบัดน้ำเสียในประเทศเวียดนามจำนวน 28 ล้านลูกบาศก์เมตร และน้ำมูลค่าเพิ่ม (Premium Clarified Water and Demineralized Water) จำนวน 5 ล้านลูกบาศก์เมตร

สำหรับธุรกิจพลังงาน บริษัทเดินหน้าขยายพอร์ทการลงทุนในการพัฒนาโซลูชันด้านพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นปี 2565 บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมอยู่ที่ 683 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการที่ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) 644 เมกะวัตต์ โดยเป็นโครงการโซลาร์ 94 เมกะวัตต์ ซึ่งในปี 2565 บริษัทได้เซ็นสัญญากับบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี (ประเทศไทย) เพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่จอดรถ ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 7.7 เมกะวัตต์ บนพื้นที่รวม 32,200 ตารางเมตร ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 1 นับเป็นการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

นอกจากนี้ บริษัทมีการนำดิจิทัลโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาใช้ เพื่อเป็นการต่อยอดทางธุรกิจ โดยได้ร่วมมือกับ ปตท. และ Sertis ในการพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานแบบ Peer-to-Peer Energy Trading ภายใต้ชื่อ Renewable Energy Exchange ("RENEX") โดยแพลตฟอร์มดังกล่าว ได้นำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยของการทำธุรกรรม และได้เริ่มนำไปใช้ในการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในกลุ่มลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัท และบริษัทมีแผนการศึกษาและพัฒนาให้สามารถเกิดการซื้อขายคาร์บอนเครดิต โดยเบื้องต้น ได้ลงทะเบียนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์กับโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) และ I-REC หรือใบรับรองสีเขียวที่สามารถซื้อขายได้ ซึ่งได้รับการตรวจสอบและรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน I-REC

พร้อมกันนี้ บริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจทั้งในประเทศไทย - ประเทศเวียดนาม เพื่อมองหาและเปิดโอกาสการเข้าลงทุนใหม่ ๆ ในประเทศอื่น ๆ เพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve อาทิ ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ไฮโดรเจน การซื้อขายคาร์บอนและการใช้และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) พร้อมตั้งเป้าหมายการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

สำหรับธุรกิจดิจิทัล บริษัทมุ่งมั่นเดินหน้าการทรานสฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัล เพื่อก้าวสู่การเป็น Technology Company ภายในปี 2567 โดยได้ปรับเปลี่ยนองค์กรตั้งแต่การวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ ทรัพยากรบุคคล วัฒนธรรม ไปจนถึงขั้นตอนการทำงานของทุกฝ่าย เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้มีศักยภาพพร้อมรับมือกับยุคดิจิทัล รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงลูกค้า และสร้างผลิตภัณฑ์ และมูลค่าเพิ่มใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

ในปีที่ผ่านมา บริษัทเปิดตัวแอปพลิเคชัน WHAbit หรือ โซลูชัน สำหรับดิจิทัลเฮลธ์แคร์ที่ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเตรียมแผนเปิดตัว Meta W ซึ่งเป็นเมตาเวิร์ส ด้านอุตสาหกรรมรายแรก ที่จะเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของบริษัท ในยุคดิจิทัล ทั้งนี้ Meta W จะนำเสนอ Digital Twin โดยลูกค้าสามารถเข้าไปสัมผัส และมีประสบการณ์เสมือนจริงทั้งในรูปแบบของกิจกรรม การดำเนินงาน โมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ และบริษัทมีแผนที่จะขยายผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อนำเสนอแก่ลูกค้าทั้งภายในและภายนอกระบบนิเวศของกลุ่มบริษัทเพิ่มเติมในอนาคต

สำหรับด้านรางวัลความสำเร็จในปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับรางวัลอันทรงเกียรติมากมาย อาทิ รางวัล SET Awards จำนวน 3 รางวัล ได้แก่ รางวัล Commended Sustainability Awards สำหรับบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รางวัล Best Innovative Company Awards สำหรับบริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) และรางวัล Outstanding REIT Performance Awards สำหรับทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล รวมถึง รางวัล Thailand Best Managed Companies 2022 รางวัล Thailand Corporate Excellence Awards 2022 รางวัล Thailand Top CEO of The Year 2022 ประเภทอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ รางวัล IEEE PES Women in Power Award 2022 และรางวัลอันทรงเกียรติ Prime Minister’s Digital Award 2022 สาขา Digital Entrepreneur of the Year

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนประจำปี 2565 (THSI) ในฐานะ “Sustainable Stocks” รวมถึงการได้รับรองจาก S&P Global ให้เป็น 1 ใน 3 ของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากประเทศไทย ที่ได้รับการประกาศรายชื่อด้านความยั่งยืนในรายงาน Sustainability Yearbook Member ประจำปี 2023 และยังถูกยกให้เป็น Industry Mover ของกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่เข้าร่วมประเมินจากทั่วโลก ซึ่งถือเป็นการพิสูจน์สิ่งที่บริษัทมุ่งมั่นและตั้งใจมาโดยตลอดในการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน ที่ไม่ใช่แค่การดำเนินธุรกิจเพียงเท่านั้น แต่ยังมุ่งมั่นสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจของประเทศ

บริษัทยังคงยึดมั่นในแนวทางการดำเนินงานที่เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการขับเคลื่อนธุรกิจบนหลักความสมดุลและคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างครอบคลุมทั้ง 3 มิติ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) ตลอดจนการกำหนดแนวปฏิบัติเพื่อพัฒนาองค์กรไปสู่ความยั่งยืน สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจภายใต้พันธสัญญาการเป็น “The Ultimate Solution for Sustainable Growth”

สำหรับปี 2566 บริษัทยังคงตั้งเป้าหมายในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจของทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำในธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน และธุรกิจดิจิทัล พร้อมมองหาโอกาสทางธุรกิจเพิ่มเติมทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากการใช้นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ควบคู่กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับแนวคิดการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมกันนี้ บริษัทจะเดินหน้ากระบวนการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาไปสู่องค์กรที่เปี่ยมประสิทธิภาพ และมุ่งสู่การเป็น Technology Company อีกด้วย

สุดท้ายนี้ ดิฉันในฐานะประธานคณะกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และตัวแทนของคณะกรรมการและคณะผู้บริหาร ขอขอบพระคุณทุก ๆ ฝ่ายที่ให้การสนับสนุนธุรกิจของบริษัทมาโดยตลอด ทั้งท่านผู้ถือหุ้นที่ได้ให้ความไว้วางใจ ลูกค้าทุกท่านที่เลือกใช้บริการของบริษัท พันธมิตรทางธุรกิจทุกฝ่าย และกลุ่มสถาบันการเงินที่สนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจ รวมทั้งขอขอบคุณคณะกรรมการ คณะผู้บริหาร และพนักงานทุกคน ที่ได้ให้ความไว้วางใจและความร่วมมือในการผลักดันธุรกิจของบริษัท ให้เดินหน้าและเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างคุณค่า แก่สังคม ผู้ถือหุ้น ลูกค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุก ๆ ฝ่ายต่อไป

คุณจรีพร จารุกรสกุล
ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)