Company News
WASTE MANAGEMENT


คุณจรีพร จารุกรสกุล
ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ปัจจุบัน ปริมาณขยะทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากกิจกรรมของภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม โดยในปี ๆ หนึ่งนั้น โลกจะมีขยะที่ต้องจัดการมากถึง 2.2 พันล้านตัน และด้วยแนวโน้มการขยายตัวของประชากรและเศรษฐกิจ ตัวเลขดังกล่าวจึงถูกคาดการณ์ว่าจะสูงถึง 3.78 พันล้านตัน ภายในปี 2050 โดยขยะจำนวนมหาศาลนี้ไม่เพียงแค่ล้นกำลังการจัดการของระบบโครงสร้างพื้นฐานของการกำจัดแบบดั้งเดิม แต่ยังสะท้อนถึงการใช้ทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพ และหากยังไม่มีการจัดการที่เหมาะสมตั้งแต่ต้นทางก็จะยิ่งสร้างแรงกดดันให้กับระบบนิเวศที่เปราะบางและสามารถนำไปสู่ความสูญเสียทางเศรษฐกิจในวงกว้าง
โดยปัญหาขยะนั้นจัดเป็นความท้าทายระดับโลกและเป็นโจทย์สำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพราะผลกระทบไม่ได้จำกัดแค่ความสกปรกหรือภาพลักษณ์เมือง แต่เชื่อมโยงกับสภาพภูมิอากาศโดยตรง ซึ่งปัจจุบันขยะทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 11–14% และส่วนใหญ่มาจากขยะอินทรีย์ที่ฝังกลบแล้วปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งมีศักยภาพทำให้โลกร้อนสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์หลายสิบเท่า นอกจากนี้ การจัดการขยะไม่ถูกวิธีอาจทำให้สารพิษรั่วลงดิน น้ำ และปนเปื้อนสู่แหล่งอาหาร จากนั้นแพร่กระจายเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ในหลายระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบหายใจ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ระบบประสาท ตลอดจนเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำลายความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งเป็นรากฐานของระบบนิเวศทั้งหมดอีกด้วย
ท่ามกลางความท้าทาย เทคโนโลยีกลายเป็นกำลังสำคัญในการยกระดับการจัดการขยะ เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนแรงงาน และสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี AI และ Camera Vision ที่สามารถเรียนรู้ วิเคราะห์รูปแบบที่ซับซ้อนเพื่อจำแนกประเภทขยะหรือตรวจจับวัสดุอันตรายหรือปนเปื้อนได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ การผสานเทคโนโลยีกับหุ่นยนต์ เช่น แขนกลหรือระบบคัดแยกอัตโนมัติยังเข้ามาช่วยให้กระบวนการคัดแยกสามารถทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมลดความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการทำงานของมนุษย์ ทำให้การจัดการขยะมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน การนำ IoT เข้ามาประยุกต์ใช้ยังสามารถช่วยติดตามปริมาณขยะในจุดต่าง ๆ แบบเรียลไทม์ ทำให้การวางแผนเส้นทางเก็บขยะมีประสิทธิภาพขึ้น ลดรอบการเก็บที่ไม่จำเป็นและลดพลังงานที่ใช้ในการขนส่ง
ควบคู่กันนั้น กระบวนการรีไซเคิลแบบใหม่หรือการรีไซเคิลขั้นสูง (Advanced Recycling) ก็ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรับมือกับของเสียที่ระบบเดิมจัดการได้ยาก โดยเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเปลี่ยนขยะกลับเป็นวัตถุดิบคุณภาพสูงใกล้เคียงวัสดุใหม่ (Virgin Grade) หรือแปรรูปเป็นวัสดุอื่นที่นำไปใช้งานต่อได้ พร้อมทั้งลดการใช้พลังงานและสารเคมีลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังรองรับวัสดุที่หลากหลายยิ่งขึ้น ลดข้อจำกัดเดิมที่ต้องแยกวัสดุชนิดเดียวกันอย่างเคร่งครัดทำให้ของเสียประเภทใกล้เคียง เช่น พลาสติกหรือขวดที่ใช้วัสดุใกล้เคียงกัน สามารถรีไซเคิลรวมกันได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้อัตราการนำกลับมาใช้ได้ใหม่เพิ่มสูงขึ้น และยังลดปริมาณขยะที่ต้องฝังกลบในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาขยะอย่างยั่งยืนไม่อาจสำเร็จได้หากขาดความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ประชาชนที่คัดแยกอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้นทาง ภาคธุรกิจที่ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ง่ายต่อการนำกลับมาใช้ซ้ำ ไปจนถึงภาครัฐที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและจัดทำนโยบายที่เหมาะสม เมื่อเทคโนโลยีผสานกับความร่วมมือของทุกฝ่าย ขยะซึ่งเคยเป็นภาระของสังคมก็สามารถถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นทรัพยากรและมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ช่วยขับเคลื่อนความยั่งยืนในระยะยาวได้อย่างแท้จริง